คำว่า Digital Disruption ที่พูดถึงกันมากมายในปัจจุบัน หลายคนหวั่นไหว หลายคนโดนเข้าไปเต็มๆ บ้างต้องออกจากงาน บ้างต้องปิดกิจการ… แต่หลายคนก็เลือกที่จะยืนต้านแรงแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นหวัง
ถ้าลองนึกถึง “คนถีบสามล้อรับจ้าง” ในอดีต ในวันที่มอเตอร์ไซด์คันแรกออกวิ่งไปตามถนน ภาพและผลของการถูก Disrupted ที่ชัดเจนที่สุดจะเป็นแบบนั้น
ในปัจจุบัน… ใครเลยจะคิดว่าธนาคารที่ใหญ่โตมีมูลค่านับแสนล้านบาท… จะปิดสาขาลงเรื่อยๆ และเลิกจ้างพนักงานธนาคารและหันไปพึ่งแอพพลิเคชั่น ที่ทำงานได้ 24 ชั่วโมงต่อวัน และ 7 วันต่อสัปดาห์… ต่อให้มีล่มบ้าง อืดบ้าง… แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับการจ้างพนักงานฝากถอนและโอนเงิน ที่ต้องปิดทำการ มากกว่าให้บริการ
เรากำลังพูดถึง Digital Lifestyle ที่ผู้คนเปลี่ยนจากความเคยชินที่ยุ่งยากซับซ้อน ไปเป็นวิถีที่ง่ายกว่า เร็วกว่า สิ้นเปลืองเงิน เวลา และความพยายามน้อยกว่า
… โอนเงินด้วยตัวเอง
… ซื้อของจากมือถือ
… คุยกับเพื่อนสนิทได้ทั้งวัน
… ทำงานที่ไหนก็ได้
… สั่งอาหารจากร้านไหนก็ได้
… ซื้อทัวส์ จองตั๋ว และจองที่พักได้เอง
เมื่อมองการเปลี่ยนแปลงย้อนมาที่ การทำมาค้าขายที่เราต้องยอมรับว่า… สินค้าทุกอย่างสามารถซื้อแบบ Online ได้หมดแล้ว… แถมก่อนการตัดสินใจซื้อ ยังสามารถเปรียบเทียบข้อมูลหลายอย่าง ก่อนการตัดสินใจได้ด้วย
คำถามสำคัญสำหรับทุกธุรกิจจึงพุ่งไปที่… จะส่งสินค้าหรือบริการข้ามมหาสมุทรข้อมูลไปโชว์อยู่ในมือลูกค้า ในโมเมนต์ที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ยังไง
แน่นอนว่า ทุกธุรกิจต่างก็มีกลยุทธ์แตกต่างกันไป… แต่ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนของการถูก Disrupted ที่ชัดเจนมากอีกกรณีหนึ่งคือ ธุรกิจพ่อค้าแม่ค้าคนกลาง ที่ลูกค้าเรียนรู้ว่า คนกลางมีต้นทุนให้พวกเขาแบกภาระไม่น้อยเลยในห่วงโซ่การซื้อขาย… การค้นหาต้นทางสินค้าที่เป็นแหล่งสินค้าปลอดคนกลางผ่านระบบ eCommerce ต่างๆ จึงสะท้อนผ่านการสืบค้นบน Google และ search engine… ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตหรือต้นทางสินค้าต่างๆ ก็พยายามตามหาลูกค้าโดยตรงเพื่อตัดคนกลางออกจากระบบนิเวศน์ เพื่อให้ตัวเลขขายสินค้าได้แพงขึ้น กำไรมากขึ้น แต่ลูกค้าได้ซื้อสินค้าที่ถูกลงและตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะซื้อ
คนกลางถูก Disrupted เข้าไปเต็มๆ
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า… แท้จริงแล้ว Disruption ที่พูดๆ กันจนเป็นกระแสนั้น เนื้อแท้แล้วเป็นอย่างไร… ผมเจอหลายคนที่พูดไปเพราะคนอื่นเขาพูด และเข้าใจคลาดเคลื่อนใหญ่โตว่า Disruption หรือ Digital Disruption ครั้งนี้ เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี… ซึ่งก็ถือว่าถูกเพียงส่วนเดียว เพราะจริงๆ แล้ว Digital Disruption เกิดขึ้นกับ ”ผู้บริโภค” หรือลูกค้าครับ!
พูดง่ายๆ ว่า ลูกค้าเองที่เปิดรับเอา Digital Lifestyle เข้ามาในชีวิต และเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยใช้เทคโนโลยี แทรกไว้ในตารางชีวิตของพวกเขาทุกๆ วัน
สำหรับนักการตลาดที่มองเห็นโอกาส พวกเขาจึงสามารถพาธุรกิจ สินค้าและบริการ ไปวางไว้ในที่ๆ ลูกค้าจะเห็น และตัดสินใจซื้อ
ซึ่งนักการตลาดค้นพบเครื่องมือที่ทรงพลังในการครองใจลูกค้า ที่บอกต่อกันจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา นักการตลาดเรียกเครื่องมือชุดนี้ว่า “Contents”
ย้อนกลับไปในยุคที่ รายการทีวีเฟื่องฟูทั้งข่าว ละคร วาไรตี้ ที่คนทำทีวีร่ำรวยจากเม็ดเงินโฆษณาที่ไหลเข้าหาทีวี เพียงเพื่อให้ช่วยบอกแฟนข่าว แฟนละคร ให้รู้จักสินค้าสปอนเซอร์หน่อยเท่านั้นเอง
แต่เมื่อ Digital Disruption มาถึง… คนทีวีเองต่างก็ได้รับผลกระทบ จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่แม้แต่คณะรัฐมนตรียังต้องลงมาดูแลปัญหาของทีวี
นั่นเป็นเพราะคนมี Contents มากมายเป็นทางเลือกจากช่องทางต่างๆ คนยังคงดูละคร แต่เลือกดูย้อนหลังบน YouTube… คนยังฟังวิทยุระหว่างรถติด แต่เลือกที่จะฟังบน Podcast มากกว่าที่จะหมุนคลื่น AM/FM หาเหมือนเมื่อก่อน
นักกลยุทธ์การตลาดจึงมองหา 2 สิ่งในกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ อะไรที่จะเปลี่ยนไป?… และอะไรที่จะไม่เปลี่ยนแปลง?
แน่นอนว่า… ทีม OnlineMyStore จะพาทุกท่านเข้าถึง Target Audience ด้วยการถ่ายทอดทักษะการพัฒนา Contents เพื่อใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ… สำหรับท่านที่ยังไม่พร้อมสำหรับการเป็น Contents Creator
OnlineMyStore ก็จะมี Contents พร้อมใช้มากมายไว้แบ่งปัน รวมทั้งเทคนิคและช่องทางที่สามารถพาทุกท่านทำ Self-disrupted ครั้งใหญ่อีกด้วย…